ข้อดีข้อเสียของมนุษย์เงินเดือน
สวัสดีกันอีกครั้งครับทุกท่าน ที่ติดตามบทความผม อ.โจ้ จินตกวี มาโดยตลอด
หลังจากที่ผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับแนวคิดในการหาเงิน หรือ แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นในหมวด อยากรวยทำไง? และหมวดหมู่อื่นๆอีกมากมาย
วันนี้ ผมจะพาทุกๆท่านไปเจาะลึกรายได้รูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือ “รายได้แบบมนุษย์เงินเดือน” นั่นเอง
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจ รายได้แบบนี้กันก่อนครับ
มนุษย์เงินเดือน คือ ข้าราชการ/พนักงาน/ลูกจ้างบริษัท (ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ/รัฐวิสาหกิจหรือภาคเอกชน) ที่รับรายได้ในรูปแบบของเงินเดือน(รวมไปถึงโบนัส/ค่าล่วงเวลาฯลฯ)
เรามักจะได้ยินโค้ชสอนทำธุรกิจ/นักโมติเวท…พูดถึงกันอยู่บ่อยๆว่า “อยากรวยต้องลาออกไปทำธุรกิจ!” หรือถ้อยคำสร้างแรงบันดาลใจอื่นๆอีกมากมาย โดยนัยยะจริงๆก็คือ “การสร้างรายได้แบบเงินเดือนมีโอกาสรวยน้อยกว่าการออกไปทำธุรกิจ” ซึ่งจริงๆแล้ว การเป็นมนุษย์เงินเดือน มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทีเดียวหรอกครับ
ทุกๆสิ่งย่อมมี 2 ด้านเสมอ…
ดังนั้น บทความวันนี้ ผมจึงจะมานำเสนอ “ข้อดี/ข้อเสียของมนุษย์เงินเดือน” กันครับ
ไปเรียนรู้กันเลยครับ….
ข้อดีของมนุษย์เงินเดือน
นี่ก็เป็นประเด็นแรกที่ผมจะนำมาให้ข้อมูลกันก่อน เพื่อให้ทุกๆท่าน(ซึ่งส่วนใหญ่ก็รับรายได้แบบเงินเดือน)ได้รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่ยังคง “รับรายได้แบบเงินเดือน” กันอยู่เลย ไปดูกันเลยครับ ว่ามนุษย์เงินเดือน มีข้อดีอะไรบ้าง?
ข้อดีข้อที่ 1 : รู้รายได้ของตัวเอง(อย่างคงที่)
ข้อดีนี้ ยังหมายรวมถึง “การรู้แน่ๆว่า จะมีรายได้คงที่สม่ำเสมอทุกๆเดือน”
แล้วมันดียังไงละ?
คำตอบคือ “การมีรายได้ที่คงที่สม่ำเสมอทุกๆเดือน ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ” นั่นเอง
ในประเด็นนี้ ผมเคยผู้ในเรื่อง “ความฉลาดทางด้านการเงิน4ข้อ” กันไปบ้างแล้ว ซึ่งก็คือ
- ฉลาดหาเงิน
- ฉลาดรักษาเงิน
- ฉลาดใช้เงิน
- ฉลาดทำให้เงินงอกเงย
เพื่อความเข้าใจ ไปดูวิดีโอประกอบ(ย้อนหลัง)กันเลย
เพราะฉะนั้น ข้อดีข้อนี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนที่ “มีความฉลาด4อย่างด้านการเงิน” เพราะถ้าบริหารเงินอย่างฉลาด นำเอารายได้คงที่ทุกๆเดือนนี้ มาแบ่ง/บริหาร หรือ นำไปทำธุรกิจเสริมเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นข้อดีมากๆ นั่นเองครับ
ข้อดีข้อที่ 2 : มีรายได้โดยไม่ต้องลงทุน
คำว่า ไม่ต้องลงทุนในที่นี้ คือ “การลงทุนเปิดกิจการหรือเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง” นั่นเองครับ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ เช่น สถานศึกษา โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ฯลฯ ถ้าท่านสอบเข้ารับราชการได้ ท่านก็ไม่ต้องใช้เงินลงทุนใดๆเลย ก็แค่เข้าไปทำงานและรับเงินเดือนทุกๆเดือน แค่นี้เองครับ
ในส่วนของบริษัทเอกชนก็เช่นกัน ท่านไม่ต้องลงทุนเปิดบริษัท ไม่ต้องสร้างอาคารสำนักงาน ไม่ต้องสร้างโรงงาน ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องขาดทุน ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเดือนพนักงาน… ท่านแค่ทำงานตามหน้าที่ ก็รับเงินเดือนโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรในกิจการนั้นๆเลยสักบาทเดียว นั่นเอง
ข้อดีข้อที่ 3 : มีสวัสดิการ
สวัสดิการในที่นี้ ก็อย่างเช่น ค่ารักษาพยาบาลฟรี/เบิกได้ , มีวันหยุด/วันลา แต่ไม่กระทบเงินเดือน(ยกเว้นจะลาเกินกำหนด) สวัสดิการของหน่วยงานของรัฐบางแห่ง มีบ้านพักให้ฟรี ไม่ต้องสร้างบ้าน/ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ทำให้มั่นใจได้ว่า อย่างน้อยเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ยังมีความอุ่นใจว่า มีสวัสดิการในการรักษาพยาบาลตัวเอง/ครอบครัว
ในส่วนของข้าราชการก็จะดีกว่ามนุษย์เงินเดือนในรูปแบบอื่นหน่อย เพราะอาจจะมีสวัสดิการเกี่ยวกับ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้อุ่นใจได้ว่า เวลาแก่ตัวไป ยังมีรายได้ที่เป็นบำนาญ/บำเหน็จก้อนใหญ่เพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณการทำงานได้เป็นอย่างดี
ข้อดีข้อที่ 4 : มีเครดิต
เครดิตในที่นี้ คือ เครดิตในการกู้ยืมเงินธนาคาร รวมไปถึง สิทธิ์ในการทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ฯลฯ ซึ่งนั่นหมายความว่า “เมื่อมีเครดิต ก็สามารถใช้เครดิตนี้ในการ ซื้อบ้าน ซื้อรถ โดยไม่ใช้เงินก้อน ใช้วิธีผ่อนแบบรายเดือนอย่างคงที่ตามที่สัญญาระบุไว้ได้”(ซึ่งมันก็คล้ายๆกับการเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อนอีกทางหนึ่ง)
จึงจะเห็นได้ว่า ข้อดีข้อนี้ สำคัญมากๆที่ดึงดูดให้ผู้คน อยากจะทำงานราชการ(เพราะจะได้เครดิตดีที่สุด) รองลงมาคือการทำงานในตำแหน่งสูงๆซึ่งจะมีรายได้เงินเดือนสูงๆ(เงินเดือนสูงๆเครดิตก็จะได้สูงเป็นเงาตามตัว)นั่นเอง
ข้อดีข้อที่ 5 : มีความรู้สึกมั่นคง/ปลอดภัย/ประสบความสำเร็จ
ข้อดีข้อนี้ เป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ โดยเฉพาะตำแหน่งข้าราชการ รวมไปถึง ตำแหน่งที่มีเงินเดือนสูงๆ จะมีความรู้สึกมั่นคง/ปลอดภัย และคิดว่า มันคือความสำเร็จที่ได้ ขับรถคันใหญ่ๆ(หรูๆ) มีบ้านหลังใหญ่ๆ(ถึงแม้จะยังผ่อนงวดอยู่ก็ตาม แต่เพราะรู้ว่า เงินเดือนที่ได้รับ มันเพียงพอต่อการผ่อนชำระหนี้ได้ทุกๆเดือนอยู่แล้ว)นั่นเอง
เมื่อเวลาไปไหนมาไหน ก็รู้สึกมั่นใจ เพราะ “เป็นคนมีงานทำ” ไม่ใช่คนที่กินเล่นเที่ยวไปวันๆ นอกจากนี้ ยังรู้สึกว่า “เป็นคนมีเกียรติยศทางสังคม” สามารถเชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูลได้ นั่นเอง
การมีเงินเดือนสูงๆ ยังนำมาซึ่ง ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทานอาหารร้านหรูๆได้บ้าง ซื้อสิ่งที่อยากได้ได้บ้างบางอย่าง ได้บริหารเวลาวันหยุดเพื่อไปท่องเที่ยวในที่ที่อยากไปได้ ฯลฯ
……………………………………………………………..
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นข้อดีหลักๆของมนุษย์เงินเดือน ซึ่งจริงๆก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ประเด็นหลักๆก็จะจัดอยู่ใน 5กลุ่มหลักๆนั่นเองครับ
อย่างที่บอกว่า “ทุกอย่างบนโลกนี้ มี 2 ด้านเสมอ” ดังนั้น เมื่อมีข้อดี ก็ย่อมมีข้อเสียอยู่ในตัวเอง เช่นกัน
ไปดูกันเลยว่า “ข้อเสียของมนุษย์เงินเดือน” มีอะไรบ้าง?
ข้อเสียของมนุษย์เงินเดือน
ข้อเสียข้อที่ 1 : รายได้จำกัด(ตามตารางเงินเดือน)
ข้อนี้ หมายถึง สมมุติ ทำงานในตำแหน่งที่ได้รับเงินเดือน 30,000 บาท นั่นก็หมายความความ
1 เดือน = 30,000 บาท
12 เดือน(1ปี) = 360,000 บาท
10 ปี = 3,600,000 บาท
20 ปี = 7,200,000 บาท
30 ปี ……
40 ปี …….
ก็คำนวณได้อย่างแน่นอน เพราะตารางเงินเดือน มันคงที่(เงินเดือนปรับขึ้นไม่เยอะในแต่ละปี)
จากตัวอย่าง รายได้ที่มีเพดานนี้เอง ที่สมมุติ อยากมีบ้านหลังละ 3,000,000 บาท ต้องเก็บเงิน มากถึง10ปี(ได้ 3,600,000บาท)ถึงสามารถสร้างบ้านตามราคานั้นได้
ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีระบบ “การผ่อนชำระเกิดขึ้น” นั่นเอง เพื่อย่นเวลาให้คนที่อยากมีบ้าน ได้มีบ้านเป็นของตัวเอง(จริงๆเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร)นั่นเอง
ข้อเสียข้อที่ 2 : ต้องใช้เวลา+แรงงานเพื่อแลกรายได้
ในเรื่องนี้ อาจจะมองได้ว่า “เป็นทั้งเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กในเวลาเดียวกัน” หมายความว่า
– ถ้าหากไม่คิดอะไรมาก การทำงานแลกเงินก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ก็ทำๆไปตามหน้าที่ ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจจะ 8 – 10 ชั่วโมงต่อวัน(ไม่รวมโอที/งานล่วงเวลา) เลิกงานก็ได้กลับบ้าน อยู่กับครอบครัว สังสรรกับเพื่อนๆ วันหยุดก็ได้หยุดพักอยู่บ้าน ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก ทำงานเรื่อยๆเดี๋ยวก็ค่ำ สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน………
– ถ้าหากมีรูปแบบรายได้แบบอื่นที่สร้างรายได้ให้มากกว่าเงินเดือน ก็จะเสียโอกาสอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะ “มนุษย์เงินเดือน ได้ นำเวลา+แรงงาน ไปแลกกับเงินเดือน(ที่คงที่)แล้ว” นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น การสร้างรายได้บางอย่าง สามารถสร้างรายได้จากที่บ้านได้เลย ไม่ต้องไปเข้าออฟฟิศ ไม่ต้องไปตอกบัตร ไม่ต้องเดินทางไปไหน ใส่ชุดสบายๆอยู่บ้านแล้วสร้างรายได้(ที่มากกว่าเงินเดือน)ตลอด24ชั่วโมง
พอพูดถึงตัวอย่างนี้ ผมก็มีหนังสือ+VDO1เล่มที่น่าจะตอบประเด็นเรื่องการสร้างรายได้จากที่บ้านที่มากถึง7ช่องทางต่อวันมาฝากทุกๆท่าน ซึ่งรายละเอียดเบื้องต้น ทุกๆท่านสามารถดูที่ VDO ข้างล่างนี้ได้เลยครับ
ซึ่งรายละเอียดการสั่งซื้อหนังสือ+VDOเล่มนี้ ก็สามารถคลิกที่นี่ ได้เลยครับ http://www.7waystorich.com/shop/
มีอีกเรื่องที่อยากจะเสริมเพิ่มเติมคือ “การสร้างรายได้ทั้ง7รูปแบบนี้ ไม่กระทบกับงานประจำของทุกๆท่านอย่างแน่นอน” นั่นเองครับ เพราะฉะนั้น “จะดีแค่ไหน ถ้าหากจะมีรายได้เพิ่มมากถึง 7ช่องทางต่อวันโดยไม่กระทบกับงานประจำของทุกๆท่านเลย”
ข้อเสียข้อที่ 3 : อิสรภาพที่หายไป
ประเด็นเรื่องอิสรภาพนี้ อาจจะคล้ายๆกับข้อเสียข้อที่2 แต่มีส่วนที่แตกต่างกัน ก็ตรงที่ “ความรู้สึกของการมีอิสรภาพ” ต่างหากครับ
– การต้องรีบตื่นแต่เช้าออกไปทำงาน ต้องแข่งขันกับเวลา แข่งขันกับรถติด แข่งขันกับสภาพแวดล้อม เช่น ฝนตก แดดออก ลมพายุ ฯลฯ ซึ่งอาจจะไม่มีเหตุการณ์ทุกๆวัน แต่มันก็ยังมีผลต่อความรู้สึกของการมีอิสรภาพอยู่ดีครับ
– บางอาชีพ การลางานเป็นเรื่องใหญ่มาก เช่น อาชีพพยาบาล ที่แม้แต่ลูกป่วย อยากลาไปดูแลลูกก็ลาไม่ได้ เพราะไม่มีใครมาขึ้นเวรแทน(พยาบาลแต่คนอื่นแต่กลับไม่มีแม้เวลาพยาบาลครอบครัวตัวเอง) มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากๆนะครับ (พอพูดประเด็นนี้ขึ้นมา ผมแทบจะน้ำตาไหล เพราะผมเคยรับราชการครูมาก่อน ซึ่งเกิดเหตุการณ์ คุณพ่อซึ่งมีอายุเกือบ 80 ปี ป่วยนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผมก็ต้องลางานไปดูแล ซึ่งวันลาก็เกินแต่ก็จำเป็นต้องลางาน มีผลทำให้เงินเดือนไม่ขึ้นในรอบนั้นๆเลยนะ มันบ่งบอกความรู้สึกของการไม่มีอิสรภาพให้กับผมขึ้นมาทันที แน่นอนว่า ทุกวันนี้ ผมได้ลาออกจากราชการ100% จึงมีความรู้สึกถึงอิสรภาพ100%อย่างเต็มที่)
หลายคนอาจจะบอกว่า ก็อาศัยวันหยุด/วันหยุดราชการก็ได้ในการใช้ชีวิต! ก็อย่างทีผมได้กล่าวไป ว่า “ทุกอย่าง บางครั้งมันก็มีเหตุผลมีความจำเป็นที่จะต้องลางาน แต่ด้วยภาระและความรับผิดชอบ ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรตามอำเภอใจได้หรอกครับ” ดังนั้น ผมจึงให้ความสำคัญไปที่ “อิสรภาพที่หายไป” นั่นเอง
…………………………………………………………..
สำหรับข้อเสียของมนุษย์เงินเดือน ผมก็ขอเกริ่นนำคร่าวๆแค่นี้ จริงๆแล้ว มีอีกมากมายหลายข้อ อาทิเช่น การไม่ได้ทำตามความฝันอย่างเต็มที่ , การมีความรู้สึกล้มละลายจากการบริหารเงินที่ผิดพลาด(ก่อหนี้สินล้นพ้นตัว) ฯลฯ
สรุปง่ายๆเอาเป็นว่า “ทุกๆอย่างบนโลกนี้ ล้วนมี2ด้านเสมอ”
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพแบบไหน ก็ขอแค่ให้เรา “ใช้ความสุขนำทาง” ก็ถือได้ว่า เราใช้ชีวิตได้คุ้มค่าแล้วละครับ
แต่ผมก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้เป็นข้อคิดเตือนใจ คือ “การเป็นคนน้ำเต็มแก้ว อันตรายมากๆ” เพราะคนที่น้ำเต็มแก้ว จะไม่มีโอกาส(หรือมองไม่เห็นโอกาส)ดีๆที่เข้ามาหาเรา เราจะปิดกั้น และหลงคิดว่า
- อาชีพที่เราทำอยู่มันดีอยู่แล้ว
- รายได้ที่เรารับอยู่มันดีอยู่แล้ว
- เพื่อนร่วมงานที่เราทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว
- สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ก็ดีอยู่แล้ว
- ……………………. ดีอยู่แล้ว
บลาๆๆๆๆๆๆๆๆ
“ชีวิตเรา มีทางให้เลือกเดินเสมอ เราแค่ใช้ความสุขนำทาง และทำให้ดีที่สุด ในแบบที่เราเป็น” แค่นี้ก็เพียงพอ
สุดท้ายนี้ ผมก็มีเรื่องอยากฝากทุกๆท่าน คือ
“ถ้าชอบก็กดไลค์ ถ้าใช่(ถูกใจ)ก็กดแชร์บทความนี้เยอะๆ” น่ะครับ
ขอบคุณทุกๆท่านที่ตั้งใจอ่านมาจนถึงตรงนี้
ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิต
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ศรัทธาจะนำมาซึ่งความสำเร็จเสมอ..
By อ.โจ้ จินตกวี